การจดทะเบียนรับรองบุตร ถือว่าเด็กซึ่งเกิดจากหญิงที่มิได้จดทะเบียนสมรสกับชาย เป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของผู้หญิงแต่เพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น (ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1546)
การรับรองบุตร เป็นวิธีการหนึ่งที่จะทำให้บุตรนอกสมรสเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของบิดาได้สามารถทำได้ 3 วิธี (ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1547)
1. เมื่อบิดาและมารดาจดทะเบียนสมรสกันในภายหลัง
2. บิดาจดทะเบียนรับรองว่าเด็กเป็นบุตร ซึ่งวิธีการนี้ไม่ต้องจดทะเบียนสมรสกับมารดาของเด็ก แต่กฎหมายกำหนดเงื่อนไขในการจดทะเบียนรับเด็กเป็นบุตรต้องได้รับความยินยอมจากเด็กและมารดาของเด็ก โดยทั้งสองคนต้องไปให้ความยินยอมต่อหน้านายทะเบียน
แต่หากบุคคลทั้งสองไม่อาจให้ความยินยอมได้ เช่น มารดาถึงแก่ความตายแล้ว หรือกรณีเด็กไม่อาจแสดงเจตนาให้ความยินยอมได้ เช่น อายุยังน้อยเกินไป เป็นต้น กรณีนี้บิดาจะต้องมาร้องขอให้ศาลมีคำสั่งรับรองบุตร
3. ศาลพิพากษาว่าเป็นบุตรทั้งนี้เพื่อเป็นการพิทักษ์และคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของบิดาและบุตร ตามที่กฎหมายกำหนดต่อไป
ผลเสียการไม่เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย
1. เสียสิทธิต่างๆตามที่กฎหมายกำหนดไว้
2. ไม่สามารถเรียกให้บิดาจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดู เว้นแต่ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าเป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมาย
3. หากบุคคลภายนอกทำละเมิดให้บิดาตาย บุตรไม่สามารถฟ้องเรียกค่าขาดไร้อุปการะได้
4. บุตรไม่ชอบด้วยกฎหมาย แม้จะถือว่าเป็นทายาทที่มีสิทธิรับมรดกได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1627 คือบุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองแล้ว แต่ในความเป็นจริงมักจะถูกผู้จัดการมรดกปฏิเสธว่าไม่ใช่บุตร จึงต้องมีการพิสูจน์ความเป็นบุตรที่แท้จริง
5. หากบิดาเป็นข้าราชการ เมื่อบิดาตาย บุตรมีสิทธิได้รับบำเหน็จตกทอด แต่เมื่อบุตรไปขอรับเงินจากทางราชการ แต่ทางราชการจะปฏิเสธว่าต้องเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย ทำให้บุตรต้องมายื่นคำฟ้องต่อศาลก่อน ซึ่งจะทำให้ถูกทายาทเจ้ามรดกคัดค้านว่าไม่ใช่บุตร
6. การลดหย่อนภาษีเอกสารประกอบ มีดังนี้
1. บัตรประจำตัวประชาชนของผู้ร้อง (บิดา) และมารดา
2. ทะเบียนบ้านของผู้ร้อง, มารดา และบุตร
3. สูติบัตรของบุตร
4. ใบมรณบัตรของมารดาของบุตร (กรณีมารดาของเด็กเสียชีวิต)
5. ใบเปลี่ยนชื่อตัว / ชื่อสกุล (ถ้ามี) ของผู้ร้อง(บิดา), เด็ก หรือ มารดาของเด็ก
6. หนังสือให้ความยินยอมของมารดาของเด็กและสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน (กรณีมารดายังมีชีวิต)
7. ภาพถ่ายแสดงความสัมพันธ์ ของ บิดา, มารดา และเด็ก
8. หนังสือรับรองการเรียนของบุตร จากโรงเรียนเอกสารเพิ่มเติม (กรณีบิดาเป็นชาวต่างชาติ)
9. หนังสือเดินทาง(Passport) พร้อมแปลภาษาไทย
10. VISA แสดงการเข้า-ออกราชอาณาจักรระยะเวลาดำเนินการนับแต่วันที่ผู้ร้องได้ยื่นคำร้อง ศาลจะนัดไต่สวนคำร้องไม่น้อยกว่า 45 วัน และภายในเวลา 15 วัน นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งรับคำร้องแล้ว ผู้ร้องต้องนำบุตรและมารดาของบุตรไปให้ถ้อยคำต่อผู้อำนวยการสถานพินิจ เพื่อรายงานข้อเท็จจริงเสนอความเห็นต่อศาลประกอบในการพิจารณาคำร้องขอจดทะเบียนรับรองบุตร (ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัว มาตรา 117) ในวันนัดไต่สวนคำร้อง ผู้ร้องพร้อมมารดาผู้เยาว์ และผู้เยาว์ต้องมาศาล โดยต้องนำเอกสารพยานหลักฐานต่างๆ เพื่อทำการไต่สวนคำร้อง เมื่อพ้นกำหนด 1 เดือนนับแต่วันที่ศาลมีคำสั่ง ผู้ร้องสามารถขอคัดถ่ายคำสั่งศาล และขอหนังสือสำคัญแสดงคดีถึงที่สุด แล้วนำเอกสารดังกล่าว ไปดำเนินการจดทะเบียน ณ สำนักงานเขตหรือที่ว่าการอำเภอใดก็ได้หลักกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่เกี่ยวข้องมาตรา 1548 บิดาจะจดทะเบียนเด็กเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายได้ต่อ
เมื่อได้รับความยินยอมของเด็กและมารดาเด็ก ในกรณีที่เด็กและมารดาเด็กไม่ได้มาให้ความยินยอมต่อหน้านายทะเบียน ให้นายทะเบียนแจ้งการขอจดทะเบียนของบิดาไปยังเด็กและมารดาเด็ก ถ้า เด็กหรือมารดาเด็กไม่คัดค้านหรือไม่ให้ความยินยอมภายในหกสิบวันนับแต่การ แจ้งนั้นถึงเด็กหรือมารดาเด็ก ให้สันนิษฐานว่าเด็กหรือมารดาเด็กไม่ให้ความยินยอม ถ้าเด็กหรือมารดาเด็กอยู่นอกประเทศไทยให้ขยายเวลานั้นเป็นหนึ่งร้อยแปดสิบวัน ในกรณีที่เด็กหรือมารดาเด็กคัดค้านว่าผู้ขอจดทะเบียนไม่ใช่บิดา หรือไม่ให้ความยินยอม หรือไม่อาจให้ความยินยอมได้ การจดทะเบียนเด็กเป็นบุตร ต้องมีคำพิพากษาของศาล เมื่อศาลได้พิพากษาให้บิดาจดทะเบียนเด็กเป็นบุตรได้ และบิดาได้นำคำพิพากษาไปขอจดทะเบียนต่อนายทะเบียน ให้นายทะเบียนดำเนินการจดทะเบียนให้
1. สำหรับกรณีมารดาเด็กและตัวเด็กเองไม่ได้ให้ความยินยอม บิดาต้องยื่นคำฟ้องทั้งมารดาและบุตรเป็นจำเลยในคดีเดียวกัน
2. กรณีบุตรฟ้องให้บิดารับตนเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย หากอายุเกิน 21 ปี บิดาสามารถปฏิเสธการรับเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายได้
3. การจดทะเบียนรับรองบุตรต่อนายทะเบียน กรณีไม่ได้ร้องขอต่อศาล เด็กที่สามารถให้ความยินยอมได้ ต้องอายุเกิน 8 ปีบริบูรณ์
4. การตรวจDNAต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าตัว ถ้าเจ้าตัวฝ่ายใดไม่ให้ความยินยอม กฎหมายให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าข้อเท็จจริงเป็นไปตามที่อีกฝ่ายกล่าวอ้าง
5. ภายหลังจากเสร็จสิ้นขั้นตอนของศาล บิดาต้องนำเอกสารอันได้แก่ คำพิพากษาและหนังสือรับรองคดีถึงที่สุดไปประกอบการยื่นคำร้องขอจดทะเบียนรับรองบุตรต่อนายทะเบียน ณ สำนักงานเขตหรือที่ว่าการอำเภอที่บุตรมีภูมิลำเนา จึงที่ถือว่าสมบูรณ์
6. เมื่อได้จดทะเบียนเด็กเป็นบุตรแล้วจะถอนมิได้ (ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1559)
7. สิทธิต่างๆของบุตร มีผลย้อนหลังไปตั้งแต่วันที่เด็กเกิด โดยไม่คำนึงว่าเด็กจะกลายเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายตั้งแต่เมื่อไหร่ (ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1557)
8. การให้ถ้อยคำต่อนักสังคมสงเคราะห์หรือนักจิตวิทยา ณ สถานพินิจ บิดามารดาต้องแสดงหลักฐานต่างๆเช่นเดียวกับที่ต้องแสดงต่อศาล
9. บิดาสามารถเลือกยื่นคำร้องต่อศาลได้ทั้งภูมิลำเนาของตน หรือที่อยู่กินกันกับมารดาของบุตร
10. การจดทะเบียนรับรองบุตร จะสมบูรณ์เมื่อนำคำพิพากษาไปจดทะเบียนต่อนายทะเบียน ณ สำนักงานเขตหรือที่ว่าการอำเภอ(ใดก็ได้) พร้อมพยาน 2 คน
11. กรณีตรวจ DNA ต้องตรวจที่โรงพยาบาลของรัฐเท่านั้น ค่าบริการคนละ 6,500 บาท
12. กรณีพ่อหรือแม่เป็นชาวต่างชาติ ไม่สามารถพูดและอ่านภาษาไทยได้ ต้องใช้ล่ามในการให้ถ้อยคำสถานพินิจและชั้นศาลด้วย