ความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา

ความผิดเกี่ยวกับเพศ” หรือความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรากับความผิดฐานอนาจารเป็นบทบัญญัติของกฎหมายอาญา ภาค 2 ลักษณะ 9 ซึ่งมีลักษณะใกล้เคียงกันในลักษณะของความผิด และมักจะก่อให้เกิดความสับสนต่อผู้ที่ศึกษาและผู้ที่ต้องปฏิบัติเมื่อมีการกระทำความผิดนี้เกิดขึ้น ในที่นี้จึงขอรวบรวมเอาคำพิพากษาฎีกาสำคัญๆ เพื่อเป็นแนวในการศึกษาและวินิจฉัย

        การกระทำลักษณะใดเป็นความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา

                คำพิพากษาฎีกาที่ 1133/2509 จำเลยได้กระทำชำเราผู้เสียหาย จนของลับของจำเลยได้เข้าไปในของลับของผู้เสียหายรวม 1 องคุลี เช่นนี้ ถือได้ว่าเป็นการกระทำชำเราสำเร็จตามความหมายของประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 แล้ว การที่ทางพิจารณาไม่ปรากฏว่ามีน้ำอสุจิของจำเลยออกมาอยู่ที่ของลับของผู้เสียหายนั้น เป็นเรื่องสำเร็จความใคร่แล้วหรือไม่เป็นอีกส่วนหนึ่งไม่เป็นเหตุให้เห็นว่าจำเลยกระทำชำเราไม่สำเร็จหรือเป็นเพียงขั้นพยายาม

                คำพิพากษาฎีกาที่ 2413/2520 จำเลยเอาของลับใส่เข้าไปในของลับของผู้เสียหาย อายุ 13 ปี 11 วัน ดันโดยแรง ผู้เสียหายรู้สึกว่าของลับของจำเลยเข้าไปลึกขนาดช่วงนิ้วมือนั้น ดังนี้ของลับจำเลยได้ล่วงล้ำเข้าไปในของลับของผู้เสียหายแล้วจึงเป็นความผิดสำเร็จหาจำเป็นจะต้องมีรอยฉีกขาดที่ช่องคลอด ปากมดลูก หรือที่เยื่อพรหมจารีด้วยไม่

                คำพิพากษาฎีกาที่ 85/2504 จำเลยได้ลงมือกระทำชำเราผู้เสียหายซึ่งเป็นเด็กอายุเพียง 4 ปีเศษ แต่อวัยวะสืบพันธุ์ของจำเลยเพียงแต่จรดอยู่บริเวณปากช่องคลอดของผู้เสียหาย มิได้ล่วงล้ำเข้าไปในช่องคลอด การกระทำของจำเลยจึงเป็นเพียงพยายามข่มขืนกระทำชำเราเท่านั้น

                คำพิพากษาฎีกาที่ 1588/2524 ผู้เสียหายอายุ 5 ขวบเศษ จำเลยได้พูดขู่บังคับผู้เสียหายให้ถอดกางเกงออกและจำเลยได้เอาอวัยวะของจำเลยใส่ที่อวัยวะเพศของผู้เสียหายแล้วกระทำยิกๆ เมื่อผู้เสียหายรู้สึกเจ็บที่ของลับ จะร้องให้คนช่วย จำเลยได้ใช้ผ้าปิดปากไว้ ไม่ปรากฏว่าอวัยวะเพศของจำเลยล่วงล้ำเข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานพยายามข่มขืนกระทำชำเรา

                คำพิพากษาฎีกาที่ 1048/2518 การกระทำชำเราตามกฎหมายจะต้องปรากฎว่าของลับของชาย ล่วงล้ำเข้าไปในช่องสังวาสหรืออวัยวะสืบพันธุ์ของหญิง การที่จำเลยขืนใจผู้เสียหาย โดยใช้ของลับของจำเลยใส่เข้าไปในทวารหนักของผู้เสียหาย จึงไม่เป็นการกระทำชำเราคงมีความผิดฐานกระทำอนาจารเท่านั้น

                ความผิดฐานกระทำชำเราตามกฎหมาย แม้ตามสภาพแห่งการกระทำผู้กระทำต้องเป็นชายกระทำต่อหญิงเท่านั้น แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่า หญิงซึ่งร่วมกันกับชายที่ลงมือกระทำชำเราจะไม่ต้องรับผิดในเรื่องกระทำชำเราด้วย ดังเช่น

                คำพิพากษาฎีกาที่ 250/2510 (ประชุมใหญ่) ความผิดในเรื่องข่มขืนกระทำชำเราเป็นความผิดที่ร่วมกันกระทำผิดได้ โดยผู้ร่วมกระทำผิดมิต้องเป็นผู้ลงมือกระทำชำเราด้วยทุกคน เพียงแต่คนใดคนหนึ่งกระทำชำเราผู้ที่ร่วมกระทำผิดทุกคนก็มีความผิดฐานเป็นตัวการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และมาตรา 276 ก็หาได้บัญญัติให้ลงโทษเฉพาะชายเท่านั้นไม่ เพราะใช้คำว่า “ผู้กระทำผิดฯ” เท่านั้น แม้จำเลยที่ 2 จะเป็นหญิง เมื่อฟังได้ว่าสมคบกับจำเลยที่ 1 ร่วมกันกระทำความผิด ศาลก็ลงโทษเป็นตัวการได้

                ความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 บัญญัติว่า “ผู้ใดข่มขืนกระทำชำเราหญิงซึ่งมิใช่ภรรยาของตนโดยขู่เข็ญด้วยประการใดๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยหญิงอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้หรือโดยทำหญิงเข้าใจผิดว่าตนเป็นคนอื่น ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สี่ปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่แปดพันบาทถึงสี่หมื่นบาท

                วรรคสอง ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคแรกได้กระทำโดยมีหรือใช้อาวุธปืนหรือวัตถุระเบิดโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบห้าปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่สามหมื่นบาทถึงสี่หมื่นบาท หรือจำคุกตลอดชีวิต

                ความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราหญิง ตามมาตรา 276 แยกองค์ประกอบได้ดังนี้
1.       ข่มขืนกระทำชำเรา
2.       หญิงซึ่งมิใช่ภรรยาของตน
3.       โดยวิธีอย่างหนึ่งอย่างใด ดังต่อไปนี้
ก.        โดยขู่เข็ญด้วยประการใดๆ
ข.       โดยใช้กำลังประทุษร้าย
ค.       โดยหญิงอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ หรือ
ง.        โดยทำให้หญิงเข้าใจผิดว่าตนเป็นบุคคลอื่น

คำพิพากษาฏีกาที่ 2809/2516 ความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรานั้นแม้จำเลยจะไม่ได้พูดหรือ

มีอาวุธขู่เข็ญเสียหายก็ตาม ถ้าหากตามพฤติการณ์ผู้เสียหายกลัวจำเลย ตกอยู่ในอำนาจบังคับของจำเลยไม่กล้าขัดขืนอยู่ในภาวะจำต้องยอมจำเลยจะอ้างว่าผู้เสียหายยินยอมไม่ได้

            คำพิพากษาฎีกาที่ 2382/2522 ชำเราหญิงขณะเมาสุราหมดสติอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายมาตรา 276

                คำพิพากษาฎีกาที่ 2759/2532 ความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรานั้นแม้จำเลยจะไม่ได้พูดหรือมีอาวุธขู่เข็ญผู้เสียหาย ถ้าตามพฤติการณ์ ผู้เสียหายกลัวจำเลย ตกอยู่ในภาวะจำยอมไม่กล้าขัดขืน จะถือว่าผู้เสียหายยินยอมไม่ได้ จำเลยต้องมีความผิด

                เหตุที่ต้องรับโทษสูงขึ้น ตามมาตรา 276 วรรคสอง

                แยกองค์ประกอบความผิดได้ดังนี้
1.       ได้กระทำโดยมีหรือใช้อาวุธปืน หรือวัตถุระเบิด หรือ
2.       โดยร่วมกระทำความผิดด้วยกัน อันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง

คำพิพากษาฎีกาที่ 374/2526 โจทก์ร่วมยอมไปโรงแรมกับจำเลยที่ 2 เพราะหลงกลอุบาย

หลอกลวงว่าสามีโจทก์ร่วมนอกใจให้ไปจับผิดสามี แล้วจำเลยที่ 1 สามีจำเลยที่ 2 ได้เข้ามาช่วยถอดเสื้อผ้าและจำเลยที่ 2 ได้ใช้ปืนบังคับขู่เข็ญขณะที่จำเลยที่ 1 ข่มขืนกระทำชำเราโจทก์ร่วม โดยมีและใช้อาวุธปืนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคสอง มาตรา 83

            คำพิพากษาฎีกาที่ 3007/2532 จำเลยกับพวกร่วมกันบุกรุกเข้าไปในบ้านของผู้เสียหายในเวลากลางคืน โดยจำเลยมีอาวุธปืนจี้บังคับข่มขืนกระทำชำเราพวกของผู้เสียหายอีกคนหนึ่งซึ่งนอนอยู่บนเตียงเดียวกันนั้น จำเลยมีความผิดฐานร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราหญิงซึ่งมิใช่ภริยาของตน โดยขู่เข็ญใช้กำลังประทุษร้ายและได้ร่วมกันกระทำโดยมีหรือใช้อาวุธปืนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคสอง

                ร่วมกันกระทำความผิดด้วยกัน อันมีลักษณะโทรมหญิง หมายความถึงการที่ผู้ร่วมกระทำตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปร่วมกันรุมข่มขืนกระทำชำเราหญิงโดยผลัดกันกระทำชำเราด้วยตนเอง ดังนั้นหากเป็นการที่คนเดียวข่มขืนหลายครั้งหรือคนเดียวข่มขืนแต่มีอีกหลายคนช่วยจับแขนขา เช่นนี้ก็ไม่เป็นการกระทำการโทรมหญิง แต่ถ้าเป็นการที่หลายคนโทรมหญิงแล้ว คนอื่นที่ร่วมในการกระทำแม้ไม่ได้ข่มขืนด้วยตนเองก็มีความผิดเป็นตัวการโทรมหญิงด้วย

                คำพิพากษาฎีกาที่ 4796/2530 แม้จำเลยที่ 1 จะมิได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายก็ตาม แต่การที่จำเลยที่ 1 พาผู้เสียหายไปให้พวกของตนผลัดกันข่มขืนกระทำชำเราและรออยู่จนพวกของตนข่มขืนกระทำชำเราเสร็จสิ้นแล้วจึงพาผู้เสียหายกลับไปนั้นถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกับพวกกระทำผิดฐานร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง

                คำพิพากษาฎีกาที่ 3007/2532 (ประชุมใหญ่) เมื่อจำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายแล้ว พวกของจำเลยได้ผละจากพวกของผู้เสียหายมาข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายต่ออีก แม้พวกของจำเลยจะไม่สามารถสอดใส่อวัยวะเพศเข้าไปในอวัยวะของผู้เสียหายได้แต่ก็ได้ลงมือกระทำการข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายจนถึงขั้นพยายามแล้ว การที่จำเลยกับพวกผลัดเปลี่ยนกันกระทำชำเราผู้เสียหายต่อเนื่องกันถือได้ว่าการร่วมกันกระทำชำเราผู้เสียหาย อันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคสอง

                ข้อสรุปแนวคำพิพากษาฎีก
1.       ผู้กระทำคนเดียว กระทำชำเราหญิงหลายคนไม่เป็นการโทรมหญิง
2.       คนหลายคนจับหญิงไว้ ผู้กระทำชำเราเพียงคนเดียวทุกคนเป็นตัวการแม้ไม่ได้กระทำ

ชำเราหญิงนั้น หรือผู้กระทำเป็นหญิง ซึ่งไม่สามารถกระทำชำเราได้ ก็ผิดฐานร่วมกันข่มขืนกระทำชำเรา
3.  การโทรมหญิงหรือรุมข่มขืนกระทำชำเรา ผู้ร่วมกระทำตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ต้องผลัดเปลี่ยนกันกระทำชำเราหญิงคนละครั้ง (ตามคำพิพากษาฎีกาที่ 3007/2532 ประชุมใหญ่) ผู้ร่วมกระทำอีกคนหนึ่งลงมือกระทำการข่มขืนจนถึงขั้นพยายามแล้ว เป็นการโทรมหญิง

                ข้อสังเกต การโทรมหญิงนอกจากเป็นเหตุเพิ่มโทษสูงขึ้น ตามมาตรา 276 วรรคสอง ยังเป็นความผิดอันยอมความไม่ได้ ตามมาตรา 281

แชร์ข้อมูลได้ที่นี่
Share on Facebook
Facebook
0Pin on Pinterest
Pinterest
0Tweet about this on Twitter
Twitter
Share on LinkedIn
Linkedin

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า