ทนายความ
ทนายความคือ และคุณสมบัติของทนายความเป็นอย่างไร
Season 1
ทนายความ คือใคร
ทนายความ คือ ผู้ที่สภาทนายความได้รับจดทะเบียนและออกใบอนุญาตให้เป็นทนายความให้สามารถว่าต่างแก้ต่างให้แก่คู่ความในเรื่องอรรถคดีต่าง ๆ
อาชีพทนายความ ถือเป็นความฝันของใครหลายคนที่เรียนจบนิติศาสตร์เลยก็ว่าได้ เพราะเป็นอาชีพที่มีความสำคัญในกระบวนการยุติธรรม ช่วยเสาะแสวงหาความจริงให้ผู้คนได้รับความยุติธรรม เป็นอาชีพที่มีเกียรติน่ายกย่อง
การเป็นทนายความนั้น ไม่ใช่ว่าใครอยากจะเป็นก็เป็นได้เลย การเป็นทนายความต้องผ่านด่านการทดสอบความรู้การฝึกอบรมทั้งทางด้านทฤษฎีและทางด้านปฏิบัติหลายขั้นตอน เมื่อผ่านการทดสอบทั้งหมดแล้วจึงจะสามารถเป็นทนายความได้
คุณสมบัติของการเป็นทนายความ
บุคคลที่จะเป็นทนายความได้ต้องมีคุณสมบัติและผ่านขั้นตอบการทดสอบและฝึกอบรมต่าง ๆ อย่างน้อย 6 ประการ ดังต่อไปนี้
1.จบปริญญาตรี คณะ “นิติศาสตร์”
2.เป็นผู้ผ่านการฝึกอบรมจากสำนักฝึกอบรมวิชาว่าความแห่งสภาทนายความ
3.ผ่านการสอบปากเปล่า
4.ผ่านการอบรมจริยธรรมทนายความ
5.ผ่านการสมัครเป็นสามัญ หรือวิสามัญสมาชิก แห่งเนติบัณฑิตยสภา
6.ผ่านการยื่นคำขอจดทะเบียนและรับใบอนุญาตให้เป็นทนายความ
Season ๒
ขั้นตอนการผ่านคุณสมบัติในการเป็นทนายความ
การจะได้เป็น “ทนายความ” ต้องผ่านขั้นตอนดังต่อไปนี้
ขั้นตอนที่ 1 จบปริญญาตรี หรือ อนุปริญญาตรี นิติศาสตร์
บุคคลที่จะมีสิทธิสมัครสอบใบอนุญาตให้เป็นทนายความ หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า “ตั๋วทนาย”
ทั้งในกรณีอบรมวิชาว่าความและกรณีผู้ฝึกงาน 1 ปี ต่างก็ต้องจบปริญญาตรีนิติศาสตร์ หรือ อนุปริญญาตรี จากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ที่สภาทนายความรับรองเท่านั้น ผู้จะเป็นทนายความได้จึงต้องเป็นผู้มีความรู้ทางด้านวิชาการทางกฎหมายมากเพียงพอจนเรียนจบปริญญาตรีหรืออนุปริญญาตรีจากสถาบันการศึกษาที่สภาทนายความรับรอง
ขั้นตอนที่ 2 ต้องผ่านการฝึกอบรมจากสำนักฝึกอบรมวิชาว่าความ
เมื่อเรียนจบนิติศาสตร์หรือได้รับอนุปริญญา บุคคลที่มีความใฝ่ฝันอยากจะเป็นทนายความจะต้องผ่านการฝึกอบรมจากสำนักฝึกอบรมวิชาว่าความ สภาทนายความ และผ่านการฝึกอบรม
โดยการฝึกอบรมและการสอบนั้น สภาทนายความได้จัดการทดสอบออกเป็น 2 รูปแบบ คือ
1. การสอบใบอนุญาตว่าความประเภทผู้ผ่านการอบรมวิชาว่าความ (หรือตั๋วรุ่น)
2. การสอบใบอนุญาตว่าความประเภทผู้ผ่านการฝึกงานในสำนักงานไม่น้อยกว่า 1 ปี (หรือตั๋วปี)
ขั้นตอนที่ 3 ต้องผ่านการสอบปากเปล่า
เมื่อผ่านการสอบภาคปฏิบัติ หรือ การฝึกงาน 1 ปีแล้ว บุคคลผู้ที่จะสามารถเป็นทนายความได้ จะต้องผ่านการสอบปากเปล่าด้วย โดยการสอบปากเปล่าเป็นการสอบแบบสัมภาษณ์ต่อหน้ากรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 2-3 ท่าน เนื้อหาที่ใช้ในการสอบมี 3 ส่วน คือ 1.ประสบการณ์ฝึกงาน 2. หลักกฎหมาย และ 3. การซักถามพยาน และทางคณะกรรมการก็จะประเมินว่าบุคคลนั้นควรผ่านการสอบปากเปล่าหรือไม่
ขั้นตอนที่ 4 ต้องผ่านการอบรมจริยธรรม
เมื่อผ่านการสอบปากเปล่าแล้ว สำนักฝึกอบรมวิชาว่าความ จะกำหนดวันอบรมจริยธรรม เนื้อหาการอบรมจะบรรยายถึงหลักจรรยาบรรณวิชาชีพ จริยธรรมของทนายความ รวมถึงมรรยาททนายความด้วย ฯลฯ โดยบุคคลผู้ที่จะเป็นทนายความได้จะต้องผ่านการอบรมในครั้งนี้ด้วย
ขั้นตอนที่ 5 ต้องผ่านการสมัครเป็นสามัญหรือวิสามัญสมาชิกกับเนติบัณฑิตยสภา
เมื่อได้รับใบประกาศนียบัตรแล้ว ก็จะต้องนำใบประกาศนียบัตรดังกล่าวไปยื่นเพื่อสมัคร สามัญสมาชิก (กรณีผู้สอบผ่านเนติฯ) หรือ วิสามัญสมาชิก (กรณีผู้ที่สอบไม่ผ่านเนติฯ) กับ เนติบัณฑิตยสภา โดยเนติบัณฑิตยสภาก็จะทำการตรวจสอบว่าบุคคลนั้น ๆ มีคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามไม่ให้เป็นสมาชิกของเนติบัณฑิตยสภาหรือไม่ อย่างไร
ขั้นตอนที่ 6 ยื่นคำขอจดทะเบียนและรับใบอนุญาตให้เป็นทนายความ
เมื่อได้รับอนุมัติให้เป็นสามัญสมาชิกหรือวิสามัญสมาชิกแห่งเนติบัณฑิตยสภาเรียบร้อยแล้ว บุคคลผู้จะเป็นทนายความได้ ก็จะต้องยื่นคำขอจดทะเบียนใบอนุญาตให้เป็นทนายความที่ ฝ่ายทะเบียนของสภาทนายความ หลังจากนั้นสภาทนายความก็จะทำการตรวจสอบข้อมูลต่าง ๆ ว่าบุคคลดังกล่าวมีคุณสมบัติครบถ้วนที่จะจดทะเบียนเป็นทนายความได้หรือไม่ เมื่อสภาทนายความได้ตรวจสอบคุณสมบัติต่าง ๆ ครบถ้วนแล้ว หากเห็นว่าบุคคลนั้น ๆ มีคุณสมบัติครบถ้วนไม่มีลักษณะต้องห้าม สภาทนายความก็จะออกใบอนุญาตให้เป็นทนายความให้แก่บุคคลนั้น ๆ โดยตรวจสอบจากข้อมูลต่าง ๆ อย่างรอบด้าน อาทิเช่นบุคคลนั้นจะต้องมีอายุไม่ต่ำกว่ายี่สิบปีบริบูรณ์ในวันยื่นคำขอจดทะเบียนและรับใบอนุญาต
บุคคลนั้นต้องสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีด้านนิติศาสตร์ จากสถาบันการศึกษา
ที่ สภาทนายความรับรอง
บุคคลนั้นไม่เป็นผู้มีความประพฤติเสื่อมเสียบกพร่องในศีลธรรมอันดี และไม่เป็นผู้ได้กระทำการใด ซึ่งแสดงให้เห็นว่าไม่น่าไว้วางใจในความซื่อสัตย์สุจริต
บุคคลนั้นต้องไม่อยู่ในระหว่างต้องโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก
บุคคลนั้นต้องไม่เคยต้องโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก ในคดีที่คณะกรรมการเห็นว่าจะ นำมาซึ่งความเสื่อมเสียเกียรติศักดิ์แห่งวิชาชีพ
บุคคลนั้นต้องไม่เป็นบุคคลผู้ต้องพิพากษาถึงที่สุดให้ล้มละลาย
บุคคลนั้นต้องไม่เป็นโรคติดต่อซึ่งเป็นที่รังเกียจของสังคม
บุคคลนั้นต้องไม่เป็นผู้มีกายพิการ หรือจิตบกพร่องอันเป็นเหตุให้เป็นผู้หย่อนสมรรถภาพในการประกอบอาชีพ
บุคคลนั้นต้องไม่เป็นข้าราชการ หรือพนักงานส่วนท้องถิ่น ซึ่งมีเงินเดือน และตำแหน่งประจำเว้นแต่ ข้าราชการการเมือง
บุคคลนั้นต้องไม่เป็นบุคคลที่ถูกลบชื่อออกจากทะเบียนทนายความ เว้นแต่เวลาได้ผ่านพ้นไปแล้วไม่น้อยกว่าห้าปีนับแต่วันถูกลบชื่อ
เมื่อได้พิจารณาจากขั้นตอนของการผ่านคุณสมบัติตั้งแต่เริ่มต้นจนได้ใบอนุญาตให้เป็นทนายความนั้นแสดงให้เห็นได้ว่าบุคคลที่สามารถเป็นทนายความได้จะต้องมีความรู้ทางกฎหมายทั้งด้านทฤษฎีและด้านปฏิบัติ ผ่านการฝึกอบรมและผ่านการทดสอบ ตรวจสอบคุณสมบัติจาก เนติบัณฑิตยสภาและจากสภาทนายความ อย่างละเอียดถี่ถ้วนมาแล้วในหลายขั้นตอน จึงเป็นเครื่องมือที่ก่รันตีได้ว่าบุคคลที่จะได้รับใบอนุญาตให้เป็น “ทนายความ” จะต้องเป็นผู้มีความรู้ความสามารถในทางกฎหมายจริง ๆ และต้องเป็นบุคคลที่ไม่มีความประพฤติเสื่อมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดี และกระทำการใดซึ่งแสดงให้เห็นว่าไม่น่าไว้วางใจในความซื่อสัตย์สุจริต มิฉะนั้นแล้วก็จะไม่สามารถเป็นทนายความได้
1.คดีแพ่ง
- คดีกู้ยืมเงิน
- ห้างหุ้นส่วน/บริษัท
- ค้ำประกัน
- คดีเกี่ยวกับสัญญา
- ขับไล่
- คดีบังคับจำนอง
- คดีล้มละลาย
- คดีแรงงาน
- คดีภาษีอากร
- คดีเกี่ยวกับการมรดก
2. คดีอาญา
- ความผิดเกี่ยวกับชีวิตและร่างกาย
- ความผิดเกี่ยวกับเพศ
- ความผิดต่อตาแหน่งหน้าที่ราชการ
- ความผิดต่อเจ้าพนักงาน
- เมื่อถูกฟ้องเป็นจำเลยคดีอาญา
- ความผิดฐานปล้นทรัพย์
- ความผิดฐานกรรโชกทรัพย์
- ความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์
- ความผิดฐานลักทรัพย์
- คดีหมิ่นประมาท
- คดีโกงเจ้าหนี้
- คดียักยอกทรัพย์
- คดีฉ้อโกงทรัพย์
- คดีความผิดต่อชีวิต
- คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องคดีอาญา
- คดียาเสพติดให้โทษ
3. คดีล้มละลาย
- กรณีที่ต้องพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลาย
- วิธีพ้นจากการเป็นบุคคลล้มละลาย
- การขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลาย
- ยื่นคำขอรับชำระหนี้ไม่ทัน
- การขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ธรรมดา
- การขอรับชำระหนี้ คดีฟื้นฟูกิจการ
- เมื่อลูกหนี้ถูกพิทักษ์ทรัพย์
- การขอฟื้นฟูกิจการ
4. คดีแรงงาน
- ความปลอดภัยในการทำงาน
- การจ่ายค่าชดเชย
- สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า
- วันลาของลูกจ้าง
- ค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา
- วันและเวลาทำงาน
- วันหยุดงาน
- เงินประกันเข้าทำงาน
- การจ้างแรงงานหญิง
- การจ้างแรงงานเด็ก